เทศน์เช้า วันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรม นอกพรรษาภัตตามมา คือโยมใส่สิ่งใดมาเล็กมาน้อยก็ได้ นั่นภัตตามมา
เพราะว่าธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาอนุปุพพิกถา ให้ไปสอนประชาชนที่เขายังไม่เข้าใจสิ่งใดๆ เลย ให้เขาเสียสละ ให้เขาบริจาคทานของเขา การเสียสละการบริจาคทาน การขวนขวาย การหาอยู่หากินของเรา เราเผื่อแผ่คนอื่น ถ้ายังไม่ถึงศาสนา เราเผื่อแผ่คนอื่น ถ้าคนอื่นเขาไม่มีจะกิน เขาทุกข์เขายาก เราเผื่อแผ่ เอาสินน้ำใจต่อกัน
แต่ถ้าเราเป็นชาวพุทธใช่ไหม เรามีพระพุทธศาสนาในหัวใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนุปุพพิกถา เริ่มต้นของเราคือการเสียสละ การเสียสละเพื่อความสังคม เพื่อความเสมอภาค เพื่อความไม่เอารัดเอาเปรียบกัน นี่ระดับของทาน อนุปุพพิกถาให้เขาเสียสละทานก่อน ถ้าเสียสละทานแล้วเขาจะได้ผลตอบแทนอย่างไร ผลที่ได้รับมาคือบุญกุศล
บุญกุศลทำให้จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ได้เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมไง แล้วท่านถึงจะสอนว่าให้ถือเนกขัมมะ เพราะว่าทำบุญกุศลแล้วไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม ผลของวัฏฏะ เราก็เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏะอยู่อย่างเดิม
แต่ถ้าเรามาประพฤติปฏิบัติ เราประพฤติปฏิบัติ ผลของวัฏฏะๆ เราจะหักวัฏวนออกไป ถ้าหักวัฏวนออกไปมันต้องหักที่ในหัวใจของเรา ไม่ใช่ไปหักที่สมอง ไม่ใช่ไปหักที่ตำรา ไม่ใช่ไปหักที่ประเพณีวัฒนธรรม ไม่ใช่ไปหักที่การแข่งขันว่าใครจะทำได้มากได้น้อยกว่ากัน
ทำได้มาก ทำมากแต่ไม่ได้ผลก็ได้ ทำน้อยได้ผลมากกว่าก็ได้ ทำน้อยไม่ได้ผลก็ได้ เห็นไหม มันต้องมัชฌิมาปฏิปทา สมควรแก่เหตุ มันต้องมีเหตุมีผลของมัน ต้องมีจุดเริ่มต้นของมัน ต้องมีจุดเริ่มต้นของจิต รู้ว่าจิตนี้เกิดมาจากไหน จิตนี้เป็นอะไร
ตอนนี้ปัจจุบันนี้เรามาเกิด เรามาเกิดในโกลนี้ เรามาเกิด เกิดแล้ว ไอ้คำว่า “เกิด” เราก็ได้สถานะของความเป็นมนุษย์ นี่ไง ความเป็นมนุษย์ โลกสมมุติ โลกของเรานี่ไง แต่จิตของเราไม่มีใครเคยรู้เคยเห็นไง พระพุทธศาสนา ทาน ศีล ภาวนา ถึงสอนให้เราภาวนากันๆ เห็นไหม
นี้พอเข้าพรรษา พอเข้าพรรษา ครูบาอาจารย์ท่านให้ถือธุดงค์ เพราะเข้าพรรษาในประเพณีวัฒนธรรมของชาวพุทธ เวลาเข้าพรรษาพระจะอยู่จำที่ แล้วจะเร่งภาวนา ก็ให้ถือธุดงค์เพื่อความเรียบง่าย เพื่อความเป็นอิสระ เพื่อความไม่คลุกคลีไง
ทีนี้ความไม่คลุกคลี ถ้าที่ไหนมันไม่น่าไว้วางใจ เขาก็ไม่ไปทำบุญกุศลใช่ไหม ถ้าที่ไหนน่าไว้วางใจ เขาก็อยากจะไปทำบุญที่นั่น เพราะเป็นที่น่าไว้วางใจของเขา
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาเขาไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าควรทำบุญที่ไหน
เธอควรทำบุญที่เธอพอใจ ที่น่าไว้วางใจของเธอ เธอพอใจ เธอศรัทธาใคร เธอควรไปทำที่นั่น
แต่ถ้าเอาผลล่ะ
ผลมันคือเนื้อนาบุญไง บุญก็เนื้อนา ถ้าเนื้อนาที่มันเป็นดินที่ดี เวลาน้ำดี อากาศดีต่างๆ มันก็จะงอกงาม ทานของเราก็จะงอกงาม ถ้าไปหว่านพืชบนพลาญหิน บนหิน บนที่มันปลูกพืชไม่ขึ้น มันก็ไม่ได้ผล
นี่พูดถึงว่า เวลาหน้าแล้งหน้าฝน เวลาหน้าแล้ง แล้งซ้ำซาก แล้งจนเราต้องช่วยเหลือเจือจานกัน เวลาน้ำหลาก หลากจนท่วมบ้านท่วมเรือน จนบ้านเรือนล้มระเนระนาดไป
นี่ก็เหมือนกัน ระดับของทานๆ เวลาทำบุญกุศล โยมใส่บาตรมาๆ วันนี้เวลาเข้าพรรษาฝนตกมันชุก พระเราเก็บต่างๆ ที่เราคัดเราเลือก เราคัดเราเลือกไว้ไปที่มันแห้งแล้ง ที่มันแห้งแล้งหมายถึงว่า สิ่งที่เป็นของแห้งเราจะเก็บไว้ไปแจกเด็กๆ แจกเด็กๆ ตามโรงเรียนประชาบาล เราทำมา ๒๐–๓๐ ปีแล้ว ถ้าเราทำมา ทำมาโดยปิดทองก้นพระ ทำงานโดยไม่ให้ใครรู้ ทำงานโดยให้เด็กมันยิ้มแย้มแจ่มใส
เพราะเราแจกเด็กที่นี่มันได้ยาคูลท์ไปมันจะไปแข่งขันว่าเอ็งเป็นยาคูลท์ เอ็งไม่ใช่ยาคูลท์ มันยังไปอวดกันได้ นี่ไง เราแจกไป แจกไปเพื่อประโยชน์กับเด็กที่มันได้แล้วมันชื่นใจของมันน่ะ มันชื่นใจของมัน ใครจะให้มาก็ไม่รู้ เพราะคนให้มามันอยู่ไกลหลายสิบกิโล เราแจกไปตามโรงเรียนประชาบาลให้ครูเขาไปแจกต่อ
ฉะนั้นบอกว่า “เฮ้ย! ทำไมมันวุ่นวายอย่างนั้นวะ ทำไมต้องมาเก็บ อู๋ย! พระนี่ตระหนี่ บอกให้เขาเสียสละทาน โอ๋ย! มันสะสมเต็มที่เลย แล้วมันไปสอนคนอื่นได้อย่างไรวะ”
ถึงอยากจะพูดสักนิดหนึ่ง ปิดทองก้นพระ ปิดทองก้นพระไง ที่ไหนมันแล้ง เราก็ช่วยเหลือเจือจานที่มันแห้งมันแล้งให้เขาอยู่กันได้ ที่ไหนน้ำหลาก ที่ไหนฝนมันตกชุกก็ต้องระบายมันออกไป เพื่ออย่าให้มันขังจนที่นั่นมันเสียหายไป
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีสติมีปัญญา คนเรานะ คนเรามันจะดีมันอยู่ที่การกระทำ คนไม่ใช่ดีที่การเกิด การมียศถาบรรดาศักดิ์ การเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ ความดี บุญมันอยู่ที่คนที่ทำดีทำชั่วต่างหาก
คนที่ยิ่งใหญ่ ดูสิ พระเจ้าพิมพิสาร ดูจักรพรรดิ พระเจ้าปเสนทิโกศล เขาเป็นกษัตริย์ เขาทำคุณงามความดียิ่งใหญ่ของเขา ถ้าเป็นผู้ยิ่งใหญ่แล้วทำความดีมันก็ได้ความดีไง ถ้าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ทำความเลวก็เป็นความเลวไง เป็นทุคตะเข็ญใจทำดีมันก็ได้ความดีเหมือนกันไง แต่ความดีของผู้ที่ทุคตะเข็ญใจเรามองกันไม่เห็นไง เพราะทุคตะเข็ญใจเขาทำคุณงามความดีน้ำใจของเขา ปลูกป่าชายเลน เก็บขยะ
คนที่หัวใจเขาเป็นธรรมๆ นะ หัวใจเขาดีงาม ไปที่ไหนเวลาไปทิ้งขยะแล้วเก็บกลับมาบ้านด้วย อย่าไปทิ้งให้เป็นภาระคนอื่น นี่ก็คือน้ำใจ
แต่คนมันมักง่าย มันทิ้งสุรุ่ยสุร่าย มันทำของมันด้วยว่ามันยิ่งใหญ่ นี่คนเลว มักง่าย เห็นแก่ตัว แต่ถ้าคนมันดีงามนะ เราไปไหนเราเก็บของเรา เราทำของเรา เราช่วยกันรักษา นี่น้ำใจของเขาๆ นั่นเขาเป็นคนดี
คนดีเขาไปที่ไหน เขามีขยะ เขาเก็บกลับมาด้วย เราเก็บกลับมาเป็นอะไร ก็เราเป็นคนใช้เอง ทำไมเราต้องให้คนอื่นเดือดร้อนกับเราด้วยล่ะ
แต่เวลา “อ้าว! ฉันยิ่งใหญ่”
ยิ่งใหญ่อย่างนี้หรือ
นี่ไง ถ้าความดี บุญกุศลมันอยู่ที่นี่ อยู่ที่คนทำคุณงามความดีไง นี่พูดถึงความดีแบบโลกๆ นะ แล้วความเสมอภาคมันเป็นไปได้ยาก มันเป็นไปได้ยาก เพราะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันเป็นสัจจะไง กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน
คนเราทำเวรทำกรรมมาไม่เท่ากัน ที่สูงที่ต่ำมันรับน้ำฝนแตกต่างกัน ที่ต่ำน้ำมันก็ไหลไปที่ต่ำนั้น ที่ดอน ที่แห้งแล้ง ฝนตกแล้วน้ำมันต้องไหลไปที่ต่ำเป็นเรื่องแน่นอน
จิตใจของคนที่ดีงาม จิตใจของคนที่ดีงามสูงส่ง อ่อนน้อมถ่อมตนเหมือนที่ต่ำ น้ำก็ไหลไปที่นั่น สรรพสิ่งก็ไหลไปที่นั่น เพราะเขาทำคุณงามความดีของเขา แล้วไม่ใช่ทำคุณงามความดีเพื่อจะดันตัวเองขึ้นไปที่ดอนไง
เป็นที่ดอนเวลาฝนตกน้ำมันไหลไปหมดน่ะ เป็นที่ต่ำน้ำมันไหลไปถึงที่ตรงนั้นไง เห็นไหม เวลาที่ต่ำน้ำมันท่วม น้ำท่วมเราก็ระบายน้ำออก เราทำของเรา แต่ถ้ามันเป็นความจริงๆ มันเป็นอย่างนั้นนะ
ฉะนั้นบอกว่า ความเสมอภาคทางโลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ”
กักน้ำไว้ที่ไหนมันระเหยไปหมด มันแห้งแล้งไปโดยธรรมชาติของมัน แต่มันด้วยอำนาจวาสนาบารมีของคนต่างหาก ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาลมันมาเป็นครั้งเป็นคราว มันมาสะสมให้เราพอดีใช้สอยของเรา นี่ไง มันเป็นความเป็นบุญกุศล เห็นไหม
โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ มันต้องระเหยไป มันต้องใช้จ่ายไป มันต้องขาดแคลนไปเป็นเรื่องธรรามดา แต่ถ้าหัวใจของเรา ถ้าเรามีสัจจะมีความจริงขึ้นมา หัวใจเราเป็นธรรมๆ ขึ้นมา เราบริหารจัดการด้วยความเป็นธรรม ด้วยความเป็นธรรมนะ สังคมร่มเย็นเป็นสุขนะ
ด้วยการกดขี่ข่มเหงมันจะร่มเย็นเป็นสุขไปไม่ได้ กดขี่ข่มเหงเท่าไร แรงต้านมันต้องมีมากขึ้นเท่านั้น
นี่เหมือนกัน นี่พูดถึงแค่สังคมนะ แล้วสังคมนี้หาได้ที่ไหน
สังคมนี้หาได้ในหัวใจของเรา แล้วหัวใจของเราต้องฝึกหัด
มนุษย์เกิดมาปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ทั้งสิ้น แต่ความทุกข์ความยากที่กิเลสมันป้อนให้ มันมองแต่สังคม มองแต่ภายนอก
ถ้าเป็นธรรมๆ เป็นธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะไปทำทุกรกิริยา ๔๙ วัน เพราะอะไร เพราะจะดัดแปลงตน แล้วดัดแปลงตน ดัดแปลงตนโดยไม่ถูกที่ ไปดัดแปลงที่ร่างกาย
เพราะว่าเรามีร่างกาย โลกปัจจุบันนี้ทำศัลยกรรมๆ เมื่อก่อนนะ บาปบุญคุณโทษ บาปบุญคุณโทษนะ ศีล ๕ เวลาเกิดมา รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ สิ่งที่เป็นรูปสมบัติมันเป็นสมบัติอันหนึ่งนะ แต่ในปัจจุบันนี้ทำศัลยกรรมได้หมดน่ะ
นี่ก็เหมือนกัน จะให้มันเหมือนกันๆ ไง ให้เหมือนกันๆ เหมือนกันก็เน่าไง เน่า เน่าเฟะเลย เวลามันไม่แก่ไปตามชราคร่ำคร่าตามธรรมชาติไง มันมีแต่สิ่งแปลกปลอมทั้งนั้นน่ะ
นี่จะให้เท่ากันๆ มันไม่เท่าหรอก มันทำให้กรรมซับซ้อน
ทางการแพทย์เขาบอกว่าโรงพยาบาลรักษาแต่ความเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ได้รักษาว่าศัลยกรรมเพื่อความสวยงาม ทางการแพทย์เขาไว้ให้คนเจ็บไข้ได้ป่วยเขาไปโรงพยาบาล
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเป็นรูปสมบัติ ถ้าเป็นบุญกุศล เราบอกว่าบุญกุศลคนมันไม่เท่ากัน พอไม่เท่ากันนะ ผู้ที่มีอำนาจวาสนาเขาจะเกิดมาในสถานะยาจกเข็ญใจ เศรษฐีกุฎุมพีขนาดไหน ถ้าใจเขาเป็นธรรมๆ นะ ครอบครัวนั้น ชุมชนนั้นมีความสุขมาก ผู้นำที่ดี ผู้นำหัวหน้าที่เป็นธรรมๆ น่ะ ประชาชนจะมีความสุขมาก เพราะมันได้สิ่งนั้นมาไง
นี่ก็เหมือนกัน แล้วบอกเราก็ศึกษาธรรมะมาก็ขึงเลย เป็นวิทยาศาสตร์เลย ต้องเสมอภาค ต้องเท่ากัน...ไม่มีหรอก
ลิงน่ะ ในเซน เช้า ๓ เย็น ๔ เขาให้ผลท้อมาเช้า ๓ ผล เย็น ๔ ผล มันประท้วง มันประท้วงใหญ่เลย มันประท้วงบอกว่าไม่เสมอภาคๆ
เออ! อย่างนั้นเอาใหม่ เอาเช้า ๔ ผล เย็น ๓ ผลก็แล้วกัน
เออ! ดี พอดีเลย
นี่ไง เวลามันไม่รู้เรื่อง แต่อยู่ที่ผู้บริหารจัดการ ถ้ามันเป็นธรรม ผู้ที่ได้รับการปกครองมันเป็นธรรมๆ ขึ้นมา ไอ้คนที่มันประท้วงมันอยากได้ เช้า ๓ เย็น ๔ มันก็บอกว่าไม่พอใจ บอกอย่างนั้นเช้า ๔ เย็น ๓ เออ! ดี พอดีเลย มันโง่ขนาดนั้นน่ะ แล้วมันจะเสมอภาคกันได้ไหม
มันเสมอภาคไม่ได้หรอก เสมอภาคไม่ได้แต่เราก็พยายามรักษา แล้วคนโง่คนฉลาดมันไม่ใช่โง่ดักดานมาอย่างนั้นหรอก มันอยู่ที่เวรที่กรรม
ในพระไตรปิฎกนะ มีพระอยู่องค์หนึ่งเวลาจะสวดปาฏิโมกข์ทีไรนะ มันจะมีบาปมีกรรมมาตลอดๆ จนเขาเศร้าใจมากๆ เวลาไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก มีอยู่ชาติหนึ่งเขาเป็นนักปราชญ์ เก่งมาก ทีนี้มีพระ เพราะศาสนามันยืนยาวมา พระถ้าบวชมาแล้วถ้า ๕ พรรษาพ้นนิสัย ส่วนใหญ่จะสวดปาฏิโมกข์ได้ สวดปาฏิโมกข์คือวินัยของสงฆ์ ศีล ๒๒๗
ทีนี้ถ้าคนที่มันปราดเปรื่องมันก็ท่องได้คล่องแคล้ว ท่องได้ ไอ้คนที่ท่องไม่ได้มันก็เพิ่งหัดใหม่ คนหัดใหม่มันจะท่องดีได้อย่างไร ไอ้พระองค์ที่ว่าฉลาดปราดเปรื่องเห็นแล้วมันไปหัวเราะ มันเป็นเรื่องขำๆ มันไปหัวเราะเยาะเขา จนพระองค์นั้นอาย จนพระองค์นั้นไม่กล้าท่องปาฏิโมกข์ ไม่สวดปาฏิโมกข์ คือเขาเสียคุณงามความดีเขาไปเลย บาปกรรมอันนั้นเวลาเกิดมาอีกชาติหนึ่งเขาก็ท่องปาฏิโมกข์ไม่ได้เหมือนกัน
เวลาท่องปาฏิโมกข์นะ เวลาโยม ภาษาของโยมไม่ได้ศึกษาเรื่องเวรเรื่องกรรมโดยชัดเจน เราอยู่ในหมู่สงฆ์เราเคยเห็น พระเพื่อนเรามีองค์หนึ่งเวลาสวดปาฏิโมกข์ปากจะเป็นนกกระจอก เวลาวางแล้วหาย จนเขานั่งอยู่กับพวกเรา เขาน้ำตาไหลนะ เขาบอกเขาเป็นพระ เขามีความมุ่งมั่น เขามีการการอยากจะส่งเสริมศาสนา อยากจะทำคุณงามความดี แต่จะทำคุณงามความดีทำไมบาปกรรมมาตัดรอน เขานั่งร้องไห้เลยน่ะ ในปัจจุบันนี้ แต่นี่เราพูดถึงในพระไตรปิฎกมันมีอย่างนี้มาตลอดไง
ฉะนั้นบอกว่าจะให้คนเสมอกันมันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้เพราะคนมีเวรมีกรรมมาแตกต่างกัน ดูในชาติปัจจุบันนี้สิ ดูสิ มาตุฆาต ปิตุฆาตน่ะ มันฆ่าพ่อฆ่าแม่มันได้อย่างไร ฆ่าพ่อฆ่าแม่นี่เป็นอนันตริยกรรมนะ แล้วฆ่าพ่อฆ่าแม่ ดูในข่าวมีการฆ่าพ่อฆ่าแม่ แล้วบอกพอเกิดมาแล้วจะเสมอภาคเหมือนกันน่ะ เขาฆ่าพ่อฆ่าแม่เขามา ไอ้เราไม่ได้ทำขนาดนั้น แล้วจะให้เสมอกันได้อย่างไร
ไอ้นี่บอก อดีตชาติ กรรมเป็นอจินไตย อจินไตย ๔
พุทธวิสัยคือปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พวกเราคาดหมายไม่ได้ คาดหมายไม่ถึงหรอก
เรื่องโลก โลกที่เป็นอจินไตยมันมีของมันอยู่อย่างนี้ เป็นอจินไตยมันจะต่อเนื่องของมันไป เว้นแต่มันแปรสภาพของมันไป
แล้วก็เรื่องฌาน เรื่องฌานคือเรื่องสมาธิไง ไอ้เรื่องสมาธิเถียงกันหัวปักหัวปำนั่นน่ะ มันเป็นอจินไตยอันหนึ่ง มันกว้างขวางจนจะเอามาเป็นขอบเขตไม่ได้
แล้วก็เรื่องกรรม
อจินไตย ๔ คือแบบว่ามันหาขอบเขตหรือว่าจะเอามาวินิจฉัยกันได้ยากมาก แล้วอจินไตย เรื่องของเวรกรรมๆ มันซับซ้อนมาก
แล้วเวลาพวกเราผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ นะ กรรมแต่อดีต กรรมปัจจุบัน กรรมอนาคต อนาคตยังมาไม่ถึง แต่อนาคตส่วนใหญ่แล้วมันมาจากปัจจุบันนี้ ปัจจุบันนี้ทำสิ่งใดแล้วมันก็ส่งผลให้แก่อนาคต แล้วกรรมที่อดีตมาที่ไม่มีต้นไม่มีปลายมันก็ส่งผลเหมือนกัน ความส่งผลอันนั้น ถ้าพวกเรามาแก้กันที่ปัจจุบันธรรมนี้
ถ้าแก้ที่ปัจจุบันธรรมนี้ ถ้าสิ่งใดถ้ามันไม่เสมอภาค มันขาดตกบกพร่อง แต่สังคมที่เสมอภาคเราหาได้ในหัวใจของเรา เราให้อภัย เราเข้าใจของเราได้ ถ้าเขาบาปหนา กรรมเขาหนา เขาก็มืดบอดที่จะตะบี้ตะบันจะเอาเหตุผลอย่างนั้น นั่นน่ะมันแก้ไขไม่ได้ มันสุดวิสัย
แต่ถ้าเขามีวาสนา ถ้าสังคมเขาไม่เห็นด้วย สังคมเขาเห็นฝ่ายตรงข้าม ถ้าเขาได้สติแล้วยั้งคิดได้ เขาเห็นอย่างนี้ เขาแก้ไขได้
องค์สมเด็จพระสัมมามันพุทธเจ้าสอนที่นี่ไง สอนที่ให้แก้ไขที่ปัจจุบันนี้ไง ปัจจุบันที่เราเห็นผิดเห็นถูก เราปรับสภาพให้มันดีขึ้นไง เพราะความดีที่ยิ่งกว่านี้ยังมีอยู่
แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติเข้าไป หลวงปู่ดูลย์พูดเอง เวลาปฏิบัติไปแล้ว ทำสมาธิ ทำความสงบ เวลาไปเห็นนิมิต เห็นต่างๆ เขาว่าเห็นจริงไหม เห็นจริง แต่ความเห็นนั้นไม่จริง
เห็นจริงไหม จริง อุปาทานก็ได้ จินตนาการก็ได้ คาดหมายก็ได้ สร้างภาพเองก็ได้ แล้วถ้ามันเป็นจริง ถ้ามันเป็นจริงโดยสมดุลของมัน มันเป็นจริงก็ได้
แต่มันเป็นอุปาทาน เป็นจินตนาการ จะเป็นจริง เราก็ภาวนาของเราต่อเนื่อง แล้วเราพิจารณาของเราไปว่าอันไหนไม่จริงคัดออก อ๋อ! อันนี้ไม่จริงเนาะ เพราะเราพิจาณาแล้ว มันเห็นแล้ว พอมาใคร่ครวญแล้วมันไม่ใช่ วันหลังถ้าอย่างนี้ เรารู้เลยอันนี้ไม่จริง
ถ้าอันไหนมันจริง ถ้าจริงเวลาพิจารณาไปแล้ว โอ้โฮ! มันสว่างไสว มันเบามาในหัวใจ มันเข้าใจในเหตุในผล ในเหตุที่ว่าสิ่งนี้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร พอเกิดขึ้นมาแล้วเรามีสติปัญญาที่ใคร่ครวญจับพิจารณาแล้ว มันมีปัญญาที่มันรู้เห็นอย่างไร ถ้ามันรู้เห็นอย่างไรแล้วมันก็ปล่อยวางตามความเป็นจริงไว้อย่างนั้น เราก็เป็นเรา สิ่งที่เห็นแล้วก็เป็นสิ่งที่เห็นนั้น นั่นน่ะมันพิจารณา ถ้ามันจริงนะ มันจริงมันจะเป็นอย่างนี้ มันมีศีล มีสมาธิ แล้วมันเกิดปัญญา แล้วมันเกิดสติ แล้วมันเกิดรสของธรรม รสของสัจจะความจริง
รสของความเห็นผิด เราเคยเห็นผิดแล้วเถลไถลให้ความเห็นผิดชักจูงไป เราก็เคยไปแล้ว ตื่นเต้นขนพองสยองเก้า มีความพอใจ แต่มันหลงผิดไป ยังดียังมีสติสัมปชัญญะย้อนกลับมาได้ พอย้อนกลับมาได้ พิจารณาไปแล้วเวลามันรู้จริงเห็นจริงขึ้นมา มันสว่างไสว มันเข้าใจของมัน ความสว่างไสวคือความเข้าใจ เกิดญาณ เกิดสมาธิ เกิดปัญญา ปัญญาที่มันเกิดขึ้น เราพิจารณาของเราซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ นี่การฝึกหัดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เห็นไหม แม้แต่การฝึกหัด
สังคมที่เสมอภาคหาได้ที่ไหน
หาได้ที่ในหัวใจของเรานี่ไง หัวใจเรานี่แหละ หัวใจที่มีคุณธรรม หัวใจมีศีล มีสมาธิ มีปัญญาขึ้นมา มันมีความเสมอภาค เสมอภาคด้วยสติปัญญาของเรา
แล้วพอมองออกมาทางโลก เวลาหลวงตาท่านพูดประจำ เหมือนถังขยะ ในถังขยะดูสิ ในถังขยะมีอะไรบ้าง มีสิ่งปฏิกูลร้อยแปด
ในความแข่งขันทางโลกมีแต่สิ่งปฏิกูลโสโครกร้อยแปด แต่ผู้ที่เกิดมา เราอยู่กับโลก เราเกิดมาแล้ว เกิดผลของวัฏฏะ เราอยู่กับโลก เราก็พยายามทำตัวของเราให้สะอาด ทำตัวของเราให้ดีกว่านั้น ไม่ให้เราเป็นขยะ
ผลของวัฏฏะๆ เวลาสิ่งไหนที่เป็นสวะมันลอยไปตามน้ำ แล้วไปติดที่ไหนมันก็ติดอยู่ที่นั่นน่ะ ถ้าใครที่มีปัญญา พยายามใช้ปัญญาทำตัวเราหลุดออกมาที่ติดนั้นให้น้ำพัดลงสู่ทะเล ลงสู่มหาสมุทร ลงสู่สัจธรรม ด้วยสติด้วยปัญญาของเรา ถ้าความดีๆ เราทำของเราอย่างนี้ ทำความดีเพื่อเรา
สังคมก็เป็นสังคม สังคมภายนอกนะ แต่เราก็เกิดมากับสังคมนี้ เวลาสังคมภายนอก สังคมภายนอกมันก็เป็นของเราน่ะ เกิดมาก็มีพ่อแม่ปู่ย่าตายาย นั่นภายนอกที่ไหน เกิดมาก็มีพ่อแม่ปู่ย่าตายายทั้งนั้นน่ะ แล้วเราก็จะเป็นปู่ย่าตายายไปกับเขา เพราะเราต้องชราคร่ำคร่าไป แล้วเราก็ต้องสิ้นชีวิตนี้ไป
ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุดแน่นอน แล้วก็ไปเกิดใหม่ ไปเกิดมาใหม่ก็มาเป็นเด็กน้อย ไปอยู่ในท้อง ถ้าเกิดเป็นมนุษย์นะ แล้วถ้าเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม โอปปาติกะ ถ้าเกิดในนรกอเวจีล่ะ
เกิดแน่นอนเพราะไร เพราะเรามีความรู้สึก
หลวงตาพูด ถ้ามันไม่มี คนที่มาเกิดมันมาจากไหน ไอ้ที่นั่งๆ กันอยู่นี่มาจากไหน มันต้องมีสิ แล้วมีอะไร
ความรู้สึกใครทำลายมันไม่ได้หรอก ทำเผอทำเรอมันก็ลืมได้ มันก็รู้ได้ในความเผอเรอนั้น แล้วจิตนี้ไม่มีเว้นวรรค จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวลามันไปเกิดแล้ว พอเกิดในภพในชาติใดมันก็เป็นปัจจุบันในภพชาตินั้น
ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเวลาระลึกอดีตชาติได้ต่างๆ ระลึกอดีตชาติ ระลึกได้จริงก็ได้ ปลอมก็ได้ โกหกก็ได้ สมมุติขึ้นมาเองก็ได้ ได้ทั้งนั้นน่ะ
แต่ถ้ามันเป็นจริงๆ มันจะต้องมีเหตุมีผล มันต้องเป็นปัจจุบัน ต้องเข้าใจได้ทั้งหมด แล้วเข้าใจได้ เพราะสิ่งที่มันโกหกเราก็คือกิเลสในใจของเรา แล้วเราประพฤติปฏิบัติแล้ว ออกมาแล้ว ออกจากภาวนามาไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นเลย
แต่ถ้าผู้ที่ปฏิบัตินะ โอ้โฮ! เขาสว่างกระจ่างแจ้งทั้งภายนอกและภายใน ภายนอกก็เข้าใจหมด ภายในรื้อถอนหมด
โลกนี้ เธอจงมองโลกนี้เป็นความว่าง แล้วถอนไอ้คนที่อวดรู้ว่าโลกว่างด้วย
เพราะโลกมันว่างของมันอยู่แล้ว ไอ้คนที่อวดรู้ว่าโลกมันว่างถอนมันด้วย
เธอจงมองโลกนี้เป็นความว่าง แล้วกลับมาถอนอัตตานุทิฏฐิ
ทิฏฐิคือตัวตนที่รู้ ทำลายมันซะ นั่นถึงจะเป็นสัจจะเป็นความจริงไง นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน
สังคมที่เสมอภาค สังคมที่ดีงามเกิดในใจของเรา แล้วถ้ามันดีงามในใจของเราแล้ว เราเป็นคนดีคนหนึ่งนะ เป็นแบบอย่างของชุมชน เป็นแบบอย่างของโลก เป็นแบบอย่างของประเทศ เป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกกับใจดวงนั้น เอวัง